“GUY RITCHIE’S THE COVENANT” อิมแพคต่อใจ ระเบิดอารมณ์ผ่าน EYE CONTACT ได้อย่างดีเยี่ยม แม้ไม่มีบทพูด

#Watchlist เมื่อทางเลือกเดียวที่สามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ คือ การทดแทนหนี้ชีวิต และทำตามคำมั่นสัญญา
20.04.2023
2000
Shares


คอหนังสงครามไม่ควรพลาดกับอีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับสุดกวน Guy Ritchie ที่ครั้งนี้เปลี่ยนมาเอาใจคอหนังสงครามกันบ้างใน Guy Ritchie’s The Covenant ที่ต้องบอกเลยว่าสร้างเซอร์ไพรส์ทางด้านอารณ์ให้เราแบบสุดๆ เมื่อพูดถึงชื่อ Guy Ritchie ที่เราคุ้นเคย การันตีเลยว่านี่คือหนังสงครามที่สนุกมาก ดูเพลิน ให้ความรู้สึกในเวอร์ชั่นหลากอารมณ์แบบครบ อร่อย อิ่มพอดีคำ และสำหรับคนที่เสียน้ำตาตาง่าย บอกเลยว่ามีจุกๆ น้ำตาคลอแน่นอน
.
.
.

เรื่องย่อ
เป็นเหมือนการหยิบปมชะตากรรมของล่ามท้องถิ่นชาวอัฟกันที่ย้ายฝั่งมาสนับสนุนสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกกับการขอวีซ่าลี้ภัยในอเมริกา โดยบอกเล่าผ่านตัวละครทหารอเมริกันอย่างจ่า John Kinley ที่ต้องการหลุดพ้นจากฝันร้ายและทดแทนหนี้ชีวิตให้กับ Ahmed ด้วยการช่วยให้เค้าและครอบครัวได้วีซ่าลี้ภัยในอเมริกาตามที่สัญญาไว้ แต่หนทางนั้นไม่ง่ายเลย ทั้งการทำให้ถูกต้องตามกระบวนการย้ายถิ่น ไปจนถึงการหลบหนีจากพวกตาลีบันที่หมายหัวพวกเค้าทั้งสอง
.
.
.
 ความรู้สึกหลังดูจบ
มันดีจนไม่รู้ว่า ควรเริ่มพูดจากประเด็นไหนก่อน เพราะหนังสงครามในแบบฉบับของ Guy Ritchie เรื่องนี้ จัดเต็มมาให้ครบทุกรสในเวอร์ชั่นที่อิ่มพอดี ทั้งมิตรภาพ ครอบครัว ความดราม่าจากภัยสงครามที่ไม่มากจนล้น แต่พาคนดูน้ำตาคลอด้วยความอินกับอารมณ์ที่ตัวละครนั้นๆ แบกไว้อยู่ รวมถึงมันยังทำให้เรานึกถึงภาพเหตุการณ์จริงจากเหตุการณ์ที่สหรัฐอเมริกาถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน ที่ชวนให้นึกถึงภาพความวุ่นวาย การสูญเสีย ไปจนถึงความรู้สึกหดหู่จากการพยายามลี้ภัยออกจากประเทศของคนอัฟกันอย่างเลี่ยงไม่ได้


.
.
.
ถือเป็นหนังสงครามย่อยง่ายที่ยังคงความตลกร้ายในแบบของ Guy Ritchie ได้อย่างน่ารัก น่าเอ็นดู แต่แอบแสบเอาเรื่องอยู่กับการแอบจิกกัดระบบการทำงานที่จะทำให้คุณนึกถึงประสบการณ์การคุยโทรศัพท์ที่มีขั้นตอนอันน่าปวดหัว ไปจนถึงการหยอดมุกตลกเสียดสี ล้อเลียนอยู่ประปรายในเวอร์ชั่นที่ซอฟต์ลงและย่อยง่ายกว่าเดิม


.
.
.
และอีกหนึ่งอย่างที่ชอบมากๆ จนเรียกว่าหลงรักเลยคือ พล็อตเรื่องที่เรียบง่าย ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย แต่พอตัวละครมันมีมิติ มีดีเทลเล็กๆ บางอย่างที่ถูกใส่มา มันทำให้คนดูอย่างเราสามารถอินไปกับการกระทำของตัวละครทุกตัวได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องมีเหตุผลขัดแย้งในใจว่าทำไมถึงทำแบบนั้น รวมถึงการยกประเด็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ล่ามท้องถิ่นที่หลายๆ คนมองข้ามในสงคราม มาขยายความสำคัญให้เห็นว่าอาชีพที่พวกเค้าทำอยู่นั้น ต้องเสี่ยงและเสียสละมากแค่ไหนกับการเป็นศัตรูกับกลุ่มตาลีบันและบ้านเกิดของตัวเอง

.
.
การกำกับภาพที่ยอดเยี่ยม ยอมใจเลยจริงๆ กับการครีเอทมุมมองภาพในรูปแบบที่แปลกตายิ่งขึ้น แต่ไม่หนักจนเกินไป อย่างที่บอกมันอร่อยในทุกมุมมองจริงๆ มันมีหลายซีนมากๆ ที่เค้าใช้มุมกล้องเพื่อให้หนังมันลุ้นระทึก อึดอัด ตอกย้ำเพื่อขยี้ลากอารณ์ โดยเฉพาะซีนที่ต้องหนีการไล่ล่าของตาลีบัน ซีนพระอาทิตย์ตกดิน ไปจนถึงซีนฝันร้ายจากภาพความทรงจำเก่าๆ ที่พอมาร้อยรวมกันแล้ว มันดูได้อย่างเพลิดเพลินตั้งแต่เริ่มจนจบ


.
.
.
สำหรับในส่วนของบู๊แอ็คชั่น มันมีความคมและนิ่งมากกว่าปกติถ้าเทียบกับหนังเรื่องที่ผ่านๆ มาของ Guy Ritchie แต่มันเป็นความคมที่ดุดันขึ้นในแบบฉบับที่หนังสงครามควรจะมี รับรองว่าได้ลุ้นระทึก กำมือแน่นจนเกร็งแน่นอน รวมไปถึงเราแอบชื่นชมทีมโลเคชั่นที่น่าจะต้องทำงานหนักมากกับการตามหาโลเคชั่นที่มีภูมิประเทศเหมือนกับได้ถ่ายในอัฟกาสถานจริงๆ


.
.
.
Jake พ่อหนุ่มนัยน์ตาสีฟ้าของเราเอาอยู่ในทุกบทบาทจริงๆ สำหรับเรื่องนี้เค้าเล่นน้อยๆ เป็นธรรมชาติ แต่หนักแน่นในทุกการสบตา มันมีหลายซีนเหลือเกินที่เค้าระเบิดอารมณ์การสื่อสารได้อย่างดีเยี่ยมผ่าน Eye Contact โดยไม่ต้องมีแม้แต่บทพูดสักคำ และนี่แหละ “Jake Gyllenhaal” กับฝีมือการแสดงที่หลายคนหลงรัก

.
.
.
มาต่อกันที่อีกหนึ่งนักแสดงหลักอย่าง Dar Salim ในบทบาท Ahmed ที่เราก็ชื่นชอบ เพราะไม่ต้องมีบทพูดเยอะ แต่อิมแพ็คหนักหน่วงทุกครั้งที่มีซีน เรารู้สึกว่าทีมแคสต์นักแสดงนั้นแคสต์คนมาดีขริงๆ รวมไปถึงบทบาทของคุณนาย Kinley ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทสมทบที่ออกมาให้เห็นไม่กี่ซีน แต่มีเสน่ห์ดึงดูดและน่าจดจำมาก

 
 
 
 
Special Thanks:
www.ign.comwww.slantmagazine.comwww.rottentomatoes.com,
www.asiaone.comwww.spokesman.com,
www.hollywoodreporter.comwww.imdb.com
  
#CheezeLooker #warmovie #guyritchie #jakegyllenhaal