................................
เริ่มแรกแจ็คเก็ตทรงนี้เป็นแจ็คเก็ตที่นักบินสวมใส่ตอนขับเครื่องบิน เนื่องจากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เครื่องบินส่วนมากจะไม่มีที่ปิดห้องคนขับ ทำให้เสื้อแจ็คเก็ตเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขณะกำลังบิน และในช่วงแรกๆ นั้น 'Bomber Jacket' มักทำมาจากหนังสัตว์ ต่อมาในช่วงปี 1945 เริ่มเปลี่ยนวัสดุเป็นผ้าไนล่อนแทน ตัวนี้จะเหมาะสำหรับช่วงที่อากาศค่อนข้างหนาวหรือใส่ไปเที่ยวต่างประเทศมากกว่า แต่ถ้าใครรู้สึกชื่นชอบแจ็คเก็ตแบบนี้เป็นพิเศษ ก็แนะนำว่าให้เลือกซื้อแบบที่เป็นผ้าไม่หนา จะได้สวมใส่ได้ทุกวัน
'Motorcycle Jacket' หรือ 'Biker Jacket' สามารถเรียกชื่อไหนก็ได้ ถือเป็นไอเท็มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่ม Subculture อย่าง 'Greaser' หรือกลุ่มวัยรุ่นชนชั้นแรงงานของอเมริกาในช่วง 40S ถึง 60S, กลุ่มนักขี่มอเตอร์ไซค์, นักดนตรีอย่าง Punk, Goth Rock และ Heavy Metal สำหรับแจ็คเก็ตหนังนี่ไม่แนะนำให้ใส่ในช่วงหน้าร้อน เพราะเป็นหนึ่งในไอเท็มที่เรียกเหงื่อได้อย่างดีเยี่ยม
แจ็คเก็ตที่ถูกผลิตในช่วงปี 1930 มีน้ำหนักเบาและมีความยาวประมาณเอว ส่วนมากทำจากผ้าคอตตอน โพลีเอสเตอร์ ผ้าวูล ไปจนถึงหนังกลับจุดเด่นของแจ็คเก็ตทรงนี้จะอยู่ที่ผ้าซับใน โดยส่วนมากจะนิยมใช้ผ้าลาย Tartan หรือผ้าลายตารางหมากรุก และด้วยความที่เนื้อผ้าไม่หนาหรือบางจนเกินไป เหมาะสำหรับวันที่อยากจะชิลล์นั่งจิบกาแฟสักแก้ว แต่ยังคงความเท่ไว้ด้วยการสวมแจ็คเก็ตทับไว้สักหนึ่งตัว
แจ็คเก็ตผ้าควิลท์ที่แทรกขนนก หรือขนเป็ดไว้ข้างใน กิมมิคของเสื้อประเภทนี้จะออกบวมๆ นุ่มๆ เพื่อช่วยในการกักเก็บความร้อนจากร่างกายไม่ให้ออกไปด้านนอก ซึ่งตอนใส่ในช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ค่อยรู้สึกอุ่น แต่พอเวลาผ่านไปสักพักจะค่อยๆ อุ่นขึ้น ใครมีแพลนไปเยือนประเทศที่หนาวเหน็บ หิมะกัด แนะนำตัวนี้เลย หนานุ่ม ไม่ว่าอุณหภูมิจะติดลบแค่ไหนก็สู้ไหว
จะเรียก 'Duffle' แบบบริทิช หรือ 'Duffel' แบบอเมริกันก็ได้ สำหรับเสื้อโค้ทชนิดนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากเสื้อโค้ตของทหารโปแลนด์ในช่วง 1820 ลักษณะเด่นของโค้ทตัวนี้จะอยู่ที่ตัวล็อคด้านหน้า ซึ่งปกติจะมีประมาณ 3-4 ตัว โดยส่วนมากตัวล็อคจะทำจากไม้หรือเขาสัตว์ เพื่อใช้คล้องกับห่วงที่ทำมาจากเชือกหรือหนังสัตว์ เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งแจ็คเก็ตที่เหมาะกับหน้าหนาวสุดๆ ด้วยเนื้อผ้าที่หนา และความยาวที่มีให้เลือกตั้งแต่สะโพกจนเกือบถึงเข่า ถือเป็นความอบอุ่นที่ควรคู่กับวันที่หิมะตก
'Jean Jacket' หรือ 'Denim Jacket' แจ็คเก็ตยีนส์ที่เราคุ้นเคยกันดี มีจุดเริ่มต้นจากอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งตอนนั้นไอเท็มนี้ถือเป็น Casual Item ยอดฮิตที่ทั้งผู้หญิงและผู้ชายในอเมริกาต้องมี และแจ็คเก็ตยีนส์ตัวแรกของโลกผลิตขึ้นโดยแบรนด์ Levi's หรือที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง 'Trucker Jacket' ซึ่งลักษณะของมันจะมีกระเป๋าที่บริเวณหน้าอกทั้งสองข้าง มีกระเป๋าใกล้กับตะเข็บข้างลำตัวสำหรับให้ล้วงมือเข้าไปได้ ไปจนถึงปลายแขนที่สามารถเปิดและพับขึ้นได้ สำหรับแจ็คเก็ตยีนส์นี่ถือเป็นคลาสสิคไอเท็มที่น่าเป็นเจ้าของมาก เหมาะกับวันที่ต้องการความเรียบง่ายแบบ Casual อย่างเดินช้อปปิ้ง ดูหนัง กินข้าวกับสาวๆ เป็นที่สุด
โดยทั่วไปมักทำจากผ้าวูลเนื้อหนาสีกรม เริ่มแรกเลยเสื้อชนิดนี้นิยมสวมใส่โดยทหารเรือชาวยุโรป และอเมริกาก็นำมาใช้หลังจากนั้น ลักษณะโดยทั่วไปของเสื้อตัวนี้จะไม่ค่อยยาวมาก มีกระดุมเม็ดใหญ่ 2 แถวที่ด้านหน้าของเสื้อ กับกระเป๋าแบบซ่อน ถือเป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่แนะนำให้พกติดกระเป๋าไปด้วย เวลาที่ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือไปเมืองที่มีหิมะปกคลุม
หนา นุ่ม ให้ความอบอุ่นได้ดี แต่มีน้ำหนักเบา ด้วยวัสดุที่ทำมาจากขนแกะ ลักษณะโดยทั่วไปของแจ็คเก็ตด้านนอกจะเป็นหนังเรียบๆ และด้านในจะเป็นขนแกะแบบฟูฟ่อง รวมไปถึงบริเวณปกแจ็คเก็ตและปลายแขนก็จะเป็นขนฟูๆ และบางดีไซน์อาจมีขนฟูบริเวณชายเสื้ออีกด้วย ข้อดีอย่างหนึ่งของตัวนี้คือ หนานุ่ม ให้ความอบอุ่นได้ แต่มีน้ำหนักเบา ไม่เป็นภาระให้กับการโหลดกระเป๋า เพราะฉะนั้นถ้าไปที่ที่หนาวสุดขั้วก็เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่แนะนำ
จริงๆ แล้ว 'Trench Coat' เป็นเสื้อโค้ทกันฝนทำจากผ้ากันน้ำ ความยาวมาตรฐานของเสื้อโค้ทชนิดนี้จะอยู่ประมาณช่วงหัวเข่า หรืออาจยาวมากๆ ไปจนถึงข้อเท้า โดยในช่วงแรกๆ เป็นไอเท็มที่เจ้าหน้าที่ทหารของอังกฤษและฝรั่งเศสนิยมสวมใส่กันในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 เพื่อบ่งบอกถึงยศและตำแหน่ง ตัวนี้จะเหมาะสำหรับวันที่ไม่มีแดด และเมฆฝนตั้งท่ารอแต่เช้า แนะนำอย่างมากสำหรับคนที่ไม่ชอบพกร่มหรือมีแพลนจะไปเที่ยวในช่วงปลายฝนต้นหนาว
แจ็คเก็ตน้ำหนักเบาที่มีให้เห็นตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยส่วนมากนิยมใช้สีกาสีออกน้ำตาลๆ ไปจนถึงอมเขียวนิดๆ นอกจากนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมีอีกชื่ออย่าง 'Field Jacket' ซึ่งเป็นแจ็คเก็ตที่ทหารนิยมสวมใส่ในสนามรบ หรือตอนที่ต้องไปปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นอีกด้วย ทั้ง 'Safari Jacket' และ 'Field Jacket' จะต่างกันที่โทนสี ซึ่งซาฟารีจะเป็นโทนสีกากี ส่วน 'Field Jacket' จะเป็นโทนสีเขียวไปจนถึงโทนสีเข้มๆ อย่างสีกรม ตัวนี้จะให้ความรู้สึกแบบ ฺBusinessman หนีพักร้อนหน่อยๆ โดยเฉพาะเวลาที่จับคู่กับเสื้อเชิ้ตและเนคไทจะเป็นอะไรที่แทนที่เสื้อสูทได้ดีมาก
เริ่มแรกเลย 'Track Jacket' เป็นแจ็คเก็ตแบบมีซิปที่นักกีฬานิยมสวมใส่ขณะวอร์มร่างกายก่อนลงแข่งในสนาม โดยส่วนมากจะเป็นเซ็ทที่มีทั้งเสื้อแจ็คเก็ตและกางเกงที่เข้าคู่กันเรียกว่า Tracksuit และในช่วงต้นยุค 80S ก็มี Shellsuits เข้ามาแทนที่ ความแตกต่างของทั้งสองแบบจะอยู่ที่เนื้อผ้า Shellsuits จะใช้ผ้าไนล่อน ส่วน Tracksuits จะใช้ผ้าโพลีเอสเตอร์, คอตต้อน, เทอร์รี่ หรือพวกผ้าผสม และในช่วงปลายยุค 80s 'Track Jacket' ก็กลายเป็นคีย์ไอเท็มยอดนิยมของกลุ่มนักร้องฮิปฮอป ส่วนตัวนี้จะใส่ไปวิ่งตอนเช้า ซ้อมกีฬา บลา บลา บลา...ไปจนถึงเดินเล่นตามท้องถนนหรือห้างก็ไม่ติด เรียกว่ามีตัวเดียวใช้ประโยชน์ได้สารพัด
'Baseball Jacket' หรือ 'Varsity Jacket' เสื้อแจ็คเก็ตที่นักเรียนไฮสคูลหรือวิทยาลัยในอเมริกาใส่กันเพื่อแสดงถึงความภาคภูมิใจของทีม อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงรางวัลที่ได้รับจากการแข่งกีฬา แข่งวิชาการ ไปจนถึงการเข้าร่วมกิจกรรม ชมรมต่างๆ แนะนำสำหรับคนที่กำลังกำลังตามจีบสาวอยู่ ด้วยความที่แจ็คเก็ตตัวนี้ให้ลุคลองสบายๆ ไม่เป็นทางการจนเกิดความเกร็ง เพราะถ้าจะใส่แค่เสื้อยืดตัวเดียวก็ดูจะชิลล์เกินงามไปนิดนึง ควรหาแจ็คเก็ตดีๆ สักตัวมาใส่ทับแก้เหงา
เป็นเจ็คเก็ตเวอร์ชั่นที่น้ำหนักค่อนข้างเบา ถูกออกแบบมาไว้สำหรับกันลมและเวลาที่ฝนตกเพียงเล็กน้อย นิยมใช้ผ้าสังเคราะห์ที่มีน้ำหนักเบา โดยส่วนมากมักมีหมวกที่เป็นฮู้ด และมีกระเป๋าค่อนข้างใหญ่ทั้งด้านในและด้านนอก คงไม่มีอะไรจะเหมาะกับหน้าฝนเมืองไทยไปมากกว่าตัวนี้อีกแล้วด้วยความที่กันฝนได้ระดับนึง บวกกับเนื้อผ้าที่บางและแห้งง่าย จึงเป็นอะไรที่เหมาะสมกับวันฝนพรำที่สุด
เสื้อโค้ทแบบมีฮู้ดหรือหมวก โดยส่วนมากเสื้อประเภทนี้ขนสัตว์เป็นซับใน บางตัวอาจมีขนสัตว์ตกแต่งอยู่บริเวณฮู้ดด้วย ซึ่งเดิมทีเสื้อชนิดนี้เป็นเสื้อของชนเผ่า Inuit ที่ใช้สวมใส่เวลาล่าสัตว์และพายเรือคายัค ถ้าจะซื้อเก็บไว้ใช้ในไทยแนะนำแบบที่ไม่มีเฟอร์ประดับหรือบุอยู่ข้างใน เพราะความร้อนและเหงื่ออาจทำให้รู้สึกคันๆ จากขนสัตว์ได้ แต่ถ้าอยากไปใส่เดินเล่นต่างประเทศแล้วล่ะก็ แนะให้จัดเต็มกับความฟูฟ่องของเฟอร์ไปเลย
เสื้อถักประเภทหนึ่ง มีลักษณะคล้ายๆ กับสเว็ตเตอร์ จะแตกต่างกันที่คาร์ดิแกนมีกระดุมหน้า แต่สเวตเตอร์ไม่มี มีที่มาจากชื่อของเจ้าหน้าที่ทหารอย่าง "James Brudenell, 7TH Earl of Cardigan" หรือท่านลอร์ดคาร์ดิแกน ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้นำทหารม้าของกองทัพอังกฤษในสงครามไครเมีย สำหรับตัวนี้เราแนะนำว่าให้เลือกความหนาของเนื้อผ้าให้เหมาะกับการใช้งาน สมมุติถ้าจะใส่ในชีวิตประจำวันบ่อยๆ อย่างไปทำงาน ไปเรียน แล้วต้องตากแอร์ล่ะก็ เราแนะนำให้เลือกผ้าบางจนถึงปานกลาง แต่สำหรับคนที่มองหาไอเท็มดีๆ สักชิ้นเพื่อไปสูดอากาศช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ต่างประเทศนั้น แนะนำให้เลือกเนื้อผ้าที่หนาหน่อยจะดี
คล้ายๆ กับเสื้อสูท แต่มีความลำลองมากกว่า ด้วยวัสดุ และลวดลาย รวมไปถึงแพทเทิร์นการตัดเย็บก็ไม่ยุ่งยากเท่ากับเสื้อสูท โดยปกติแล้วถ้าจะเรียกว่าสูท คือต้องทำมาจากเนื้อผ้าชนิดเดียวกัน หรือลายเดียวกันทั้งชิ้นบนและชิ้นล่าง แต่การสวมใส่เบลเซอร์นั้น สามารถใส่คู่กับกางเกงอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเนื้อผ้าชนิดเดียวกัน เดี๋ยวนี้การใส่สูทไม่จำเป็นต้องเป็นลุคแบบ Businessman เสมอไป มันขึ้นอยู่ว่าคุณ Mix & Match กับอะไร อย่างถ้าจะไปทะเลก็สามารถใส่แจ็คเก็ตสูทแต่ต้องเป็นแบบผ้าบางอย่างผ้าลินิน และจับคู่กับกางเกงขาสั้น รองเท้าแตะรัดส้นสักคู่ หมวกปานามาหรือหมวกสานสักใบก็ดูผ่อนคลายดี ส่วนใครที่อยากใส่ในเมืองก็จับคู่กับกางเกงขายาวไป แนะนำให้แมชท์กางเกงคนละสีกับเสื้อเพราะจะช่วยเพิ่มความสนุกให้กับวันนั้นได้เป็นอย่างดี
#CheezeLooker #MiniScoop
คำเตือน: ใครที่ใจไม่แข็งรอบดึก อย่ากดเข้าไป!!!
แหวนกุ๊กกิ๊กฟรุ้งฟริ้งแบบจัดเต็ม
ลุคก็เปรี้ยว ไม่เลี้ยวมามองได้ไง