ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้งไปกับ "10 BEST MOVIES WITH BREATHTAKING SCENERY"

#Watchlist มาพักกาย พักใจกับสุดยอดภาพยนตร์ที่การันตีว่าวิวสวยจนไม่อาจละสายตาไปได้!
23.07.2023
5084
Shares
สำหรับหลายๆ คนที่ช่วงปีใหม่ไม่ได้มีแพลนท่องเที่ยวหรือเดินทางไปไหน #CheezeLooker มีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้คุณได้เดินทางท่องเที่ยวรอบโลกแบบฟรีๆ ผ่าน 10 สุดยอดภาพยนตร์ที่มี Landscape สวยจนทึ่ง เพื่อช่วยรีเฟรชและเยียวยาจิตใจที่ต้องอยู่แต่บ้าน บ้าน และก็บ้านให้รู้สึกสดชื่นขึ้น รอวันได้กดตั๋วเครื่องบินแล้วออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง

.
.
.

The Light Between Oceans

เรายังคงยกเรื่องนี้ให้เป็นหนึ่งในเรื่องความสวยงามของโลเคชั่นที่ใช้ในการถ่ายทำ มันสวยจนคนดูอย่างเราทึ่งในทุกซีน โดยเรื่องนี้ได้ใช้โลเคชั่นจาก New Zealand และ Australia ในการถ่ายทำ และกว่าจะเจอประภาคารที่สวยงามอย่างในภาพยนตร์ ทีมงานต้องตามหาประภารคารกว่า 300 แห่งทั่วทั้ง New Zealand และ Australia จนในที่สุดก็ได้ Cape Campbell Lighthouse ที่ตั้งอยู่บริเวณ Cook Strait ของ New Zealand มาเป็นโลเคชั่นหลัก แนะนำว่าคนที่ชื่นชอบทะเลควรดูอย่างยิ่ง เพราะคุณจะได้ชื่นชมความงามทางธรรมชาติริมทะเลที่สวยจนตาค้าง  แต่ต้องขอบอกก่อนว่าเนื้อเรื่องจะค่อยๆ เล่าอย่างช้าๆ แอบเนือยอยู่บ้าง แต่ปะปนทั้งสุข เศร้า เหงา ไปพร้อมกับภาพ Landscape ที่คุณจะไม่มีวันลืม











.
.
.
                                                                                                             

The Fall

เรามองว่าเรื่องนี้เป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มันเป็นเหมือน Art Museum ขนาดใหญ่ที่พอเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป เราจะเจองานศิลปะชั้นเยี่ยมที่เป็นภาพวิวทิวทัศน์ และสถาปัตยกรรมสุดอลังการ โดยเรื่องนี้ใช้เวลาในการถ่ายทำนานถึง 6 ปี ใน 18 ประเทศทั่วโลก แถมยังเป็นภาพยนตร์ที่แทบจะไม่ใช้ CG เลย บอกเลยว่าความสวยงามที่เห็นในเรื่องนี้ คือ The Best ที่ว่าด้วยเรื่องราวมิตรภาพระหว่างชายหนุ่มและเด็กหญิงคนหนึ่งในช่วงที่ทั้งสองคนต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ผ่านเรื่องเล่าสนุกๆ ที่เต็มไปด้วยการผจญภัยอันยิ่งใหญ่











.
.
.
 

Days Of Heaven

เต็มอิ่มสุดๆ กับสุดยอดภาพยนตร์ที่ผู้กำกับมากฝีมืออย่าง Terrence Malick ให้ความสำคัญไปกับการถ่ายทอดบรรยากาศรอบๆ ของตัวละครในขณะนั้นอย่างจงใจ โดยเค้าสามารถถ่ายทอดทั้งภาพและเสียงจากธรรมชาติที่รายล้อมได้อย่างเป็นธรรมชาติ และทำให้คนดูอย่างเราเพลิดเพลินไปกับสายน้ำที่ไหลริน สายลมในทุ่งหญ้า ไปจนถึงสิงห์สาราสัตว์ต่างๆ โดยที่ทุกอย่างล้วนมีความหมายแอบซ่อนเอาไว้ ภายใต้ความน่าหลงใหลของโลเคชั่นใน Canada อย่าง Waterton Lakes National Park, Banff National Park, Raymond, Lethbridge และ Alberta ที่บอกเล่าเรื่องราวการดิ้นรนของผู้คนในช่วงต้นๆ ของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผ่านผืนแผ่นดินที่คุณจะไม่มีวันลืม

















.
.
.

The Grand Budapest Hotel

อีกหนึ่งภาพยนตร์จากผู้กำกับสายอาร์ทอย่าง Wes Anderson ที่เนรมิตเรื่องนี้ให้ออกมาสวยงามราวกับภาพเขียนสีน้ำมันยุค Impressionism ด้วยการคุมโทนสีสุดละมุนที่ถูกดีไซน์มาอย่างดีในทุกๆ ดีเทล โดยเมืองที่อยู่ในเรื่องจะเป็นเมืองที่ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการนำเอกลักษณ์ระหว่างเมือง Vienna, Prague และ Budapest มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ทั้งสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์ ส่วนโรงแรม Grand Budapest แม้จะถ่ายทำในห้างสรรพสินค้าเก่าอย่าง Gorlitzer Warenhaus ในเยอรมันกันจริงๆ แต่การออกแบบภายนอกของตัวโรงแรมนั้น ถูกทำขึ้นมาใหม่ทั้งหมด โดยถอดแบบมาจาก Bristol Palace โรงแรมสปาชื่อดังของ Czech นอกจากนี้ยังมีสถานที่ที่สวยงามอีกมากมายที่ถูกนำมาเปลี่ยนเป็นฉากสวยๆ ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้าน Bakery อย่าง MENDL’S, The Zwinger Museum, Kunstmuseum, Sphinx Observatory รวมไปถึง Castle Waldenburg ด้วย ส่วนเรื่องราวในภาพยนตร์จะเกี่ยวกับคดีแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในโรงแรม จนต้องมาตามหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

















.
.
.

Hunt For Wilderpeople

เอาเป็นว่า หลังคุณดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบ คุณจะอยากกดตั๋วเครื่องบินไปเดินป่าที่ New Zealand ทันที! เพราะเรื่องนี้ใช้โลเคชั่นในการถ่ายทำทั้งหมดอยู่ที่ทางตอนเหนือของ New Zealand โดยที่โลเคชั่นหลักๆ คือ Auckland และในภาพยนตร์คุณจะได้พบกับการเดินทางผจญภัยท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามเกินคำบรรยาย จะมีทั้ง Hiking Trails อย่าง Waitakere Ranges, Tangarioro Alpine Crossing, Taupo เมืองแห่งทะเลสาบริมภูเขาไฟ รวมไปถึงโลเคชั่นอื่นๆ ที่สวยงามจนไม่อาจละสายตาไปจากจอได้เลย และหากใครกำลังมองหาภาพยนตร์ตลก อารมณ์ดี ที่มาพร้อมวีรกรรมสุดห่ามของเด็กอ้วนจอมป่วนกับการออกผจญภัยในผืนป่า เพื่อเติมความสดชื่นให้ชีวิตช่วงนี้ เรา Recommended เรื่องนี้















.
.

The Secret Life Of Walter Mitty

ภาพความสวยงามทางธรรมชาติของโลเคชั่นที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ทั้งหมดถูกถ่ายทำที่ Iceland ที่เดียว โดยการเลือกใช้สถานที่ใน Iceland ให้ดูคล้ายคลึงกับประเทศต่างๆ ตามบทในเรื่อง ทั้ง Nepal, Greenland รวมไปถึงประเทศอื่นๆ เหมือนกับว่าตัวละครหลักได้เดินทางไปที่นั่นจริงๆ แต่แท้จริงแล้วมันคือ Iceland นั่นเอง ในภาพยนตร์จะเป็นเล่าเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชีวิตซ้ำซากจำเจ ที่วันหนึ่งเค้ามีเหตุจำเป็นต้องออกเดินทางไปตามหาฟิล์มหมายเลข 25 ที่จะใช้สำหรับขึ้นปกนิตยสาร Life ฉบับสุดท้าย โดยที่การเดินทางครั้งนี้จะเปลี่ยนชีวิตของเค้าไปตลอดกาล








.
.
.

Leap Year

ภาพยนตร์สุดโรแมนติกที่จะทำให้คุณรู้สึกอยากไปยืนอยู่ ณ สถานที่นั้นทันทีในขณะที่กำลังดู ด้วยความละมุนของโลเคชั่นที่ทั้งหมดถูกถ่ายทำใน Ireland อย่าง Dún Aonghasa ใน Aran Island, Rock of Dunamase, Glendalough, Luggala Estate, Wicklow National Park, County Galway, Carton House Hotel และอีกหลายสถานที่ ที่ขอบอกเลยว่า ถ้าได้ไปฮันนีมูนหรือออกเดทจะฟินมาก และส่วนที่อิน-ฟินไปกว่านั้นคือ เรื่องราวที่สามารถดูได้อย่างเพลิดเพลินเกี่ยวกับธรรมเนียมของชาวไอริชที่ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ หรือ Leap Year นั้น ผู้หญิงจะสามารถเป็นฝ่ายขอความรัก ขอออกเดต รวมไปถึงขอแต่งงานได้โดยไม่ขัดต่อจารีตประเพณีใดๆ








.
.
.

The Tree of Life

ภาพยนตร์ดราม่าเชิงปรัชาญาที่สอดแทรกความหมายนัยยะอยู่ในทุกดีเทลอย่างพิถีพิถัน โดยเรื่องนี้จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบดูหนัง แล้วต้องคิด คิด และคิดตามว่าสิ่งที่ผู้กำกับต้องการจะถ่ายทอดออกมาคืออะไร ซึ่งการที่คุณจะอินไปกับเรื่องนี้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของแต่ละคน และความสนุกของเรื่องนี้จะอยู่ตรงที่คุณสามารถตีความมันไปได้หลายรูปแบบ ผ่านต้นไม้ของชีวิตที่จะพาคุณดำดิ่งไปกับมุมมองภาพที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว รวมไปถึงภาพโลเคชั่นต่างๆ ที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ ทั้งที่ Krafla, Mývatn Lake, Námaskarð และ Hverarönd ใน Iceland รวมไปถึง Italy, Hawaii, Chile, Bonneville Salt Flats และ Goblin Valley State Park ใน Utah และ Death Valley National Park ใน USA อีกด้วย













.
.
.

Hero



นี่คือภาพยนตร์ที่แบ่งเรื่องราวแต่ละพาร์ทด้วยสีสันที่แตกต่างกันไปอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นเสน่ห์ที่จะทำให้เรื่องนี้เข้าไปติดอยู่ในลิสต์ภาพยนตร์เรื่องโปรดของคุณได้อย่างง่ายดาย ว่าด้วยเรื่องราวหนังแอ็คชั่นสไตล์จีน แต่แตกต่างจากหนังกำลังภายในทั่วไปด้วยองค์ประกอบศิลป์ของสีที่ไม่ได้สื่อถึงเฉพาะเรื่องของอารมณ์เท่านั้น แต่ยังมีความหมายแอบแฝงอื่นๆ สอดแทรกไว้ด้วย ที่ยิ่งพอมารวมกับความสวยงามทางธรรมชาติในประเทศจีนอย่าง Inner Mongolia, Jiuzhaigou และ Dunhuang ด้วยแล้ว ยิ่งทวีคูณความตระการตาที่คุณจะไม่กล้าปฏิเสธว่านี่แหละคือสุดยอดหนังกำลังภายในที่ควรดูซ้ำอีกรอบ










.
.
.

The Revenant

สำหรับเรื่องนี้การคว้ารางวัลออสการ์มาครองคือคู่ควรที่สุดแล้ว ด้วยความที่ผู้กำกับตั้งใจจะใช้แสงธรรมชาติที่สวยและดีที่สุดตลอดทั้งเรื่อง ทำให้การถ่ายทำกินเวลายาวนานถึง 9 เดือน และกว่าจะได้ภาพแต่ละช็อต แต่ละซีนที่เราเห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้มา คือไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับสภาพอากาศหนาวที่โหดร้ายในแต่ละวันอีก โดยในเรื่องนี้ใช้สถานที่ถ่ายทำทั้งใน Canada และ Argentina แต่ฉากส่วนมากจะถ่ายทำกันที่ Kananaskis ในรัฐ Alberta ประเทศ Canada ซึ่งที่แห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่จัดว่ามีระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์มากๆ อีกที่หนึ่ง เอาเป็นว่าแค่เดินๆ เล่นอยู่ คุณก็อาจจะมีโอกาสพบเจอน้องหมี Grizzly แบบตัวเป็นๆ ได้อย่างง่ายดาย และถ้าพูดถึงพล็อตเรื่องก็ไม่มีอะไรมาก แค่พ่อที่ตามล้างแค้นให้ลูกชาย โดยยอมทำทุกวิถีทางที่จะมีชีวิตรอดกลับไปเอาคืน!











 
#Watchlist #CheezeLooker #LookerRecommended #movie #film
#scenery #location #bestmovie
 
 

RECOMMENDED