"พอต้องมาทำงานที่บ้านซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นลูกที่ต้องเรียนออนไลน์ สามีที่ก็ต้องประชุมทาง VDO Call เกือบตลอดวัน เราก็ต้องปรับตัวมีการจัดการพื้นที่ร่วมกัน ให้เสียงจากการประชุมไม่ตีกันเอง จัดการเวลาพักและรับประทานอาหารเพื่อให้ไม่เหนื่อยและเครียดกันจนเกินไป...
คำว่า 'Personal Space' ก็เลยไม่มีอยู่จริง เพราะก็ปรับเปลี่ยนไปตามตารางเวลาของคนอื่นในครอบครัว :)"
"ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าช่วงนี้เป็นบททดสอบว่าใครเป็น Introvert หรือ Extrovert ผลทดสอบของเราออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าเราเป็น Introvert ของแท้เพราะเราไม่ได้โหยหาการออกจากบ้านเลย...
แต่การทำงานกับน้องๆ ที่ออฟฟิศกลับไม่ได้สะดวกเหมือนเดิม ต้องวางระบบการทำงานผ่าน VDO call กับน้องๆ ให้ดี ต้องมีกติกาชัดเจน เพื่อให้ทุกคนยังคงประสิทธิภาพการทำงานไว้ได้มากที่สุด ทำความเข้าใจร่วมกันว่าการ Work From Home ไม่ใช่การลาพักร้อน ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ จำเป็นต้องกำหนดวิธีการส่งงานการสื่อสารให้ชัดเจนรวมทั้งการแสตนบายตรวจงานของเราเอง ถึงแม้จะทำให้งานเดินช้าล งเพราะธรรมชาติงานของพวกเราโดยปกติแล้วจะต้องคุยกันมากๆ มีการเบรนสตอร์ม งานถึงจะออกมาดี แต่ก็ยังมีข้อดีที่จากงานที่น้อยลงเพราะสถานการณ์ พวกเราก็เลยมีเวลาที่จะลงรายละเอียดกับสิ่งต่างๆ แบบที่ไม่เคยทำ และได้เคลียร์ระบบระเบียบไฟล์งาน ของมากมายที่อยู่ในโกดังเสียที
สำหรับเราการ Work From Home จะเหนื่อยกว่าไปเจอกันที่ออฟฟิศแน่ๆ ในระยะยาวคงไม่ปรับรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home เพราะทุกอย่างไม่ทันใจ ไม่เหมือนไปนั่งคุยกันต่อหน้า ความเครียดจากการทำงาน ณ ตอนนี้ก็แก้ได้ด้วยการทำอาหาร หลายครั้งโต๊ะทำงานของเราก็จะไปอยู่ในครัว ได้เฝ้าตุ๋นน้ำซุปกระดูกหมูไปด้วยระหว่างรอตรวจงานหรือฟังน้องๆ ประชุมไปด้วยก็ผัดผักบุ้งไปด้วยได้ :)
ข้อดีที่ชอบที่สุดคือการที่มีเวลาได้อยู่กับลูกทำกิจกรรมกับลูกซึ่งปิดเทอมพอดี ก่อนที่ลูกสาวจะโตเป็นสาว ช่วงนี้แม่ก็ได้ทำคะแนนเต็มๆ"
"ช่วงนี้เป็นเหมือนเวลาทดสอบความแข็งแรงทั้งตัวเราเองและทีม ทดสอบด้วยว่าการวางแผนทางการเงินในธุรกิจเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้แหละที่จะเห็นผลในช่วงนี้และอนาคต...
ถ้าหากถามว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร เราไม่อาจบอกได้เลย เพราะปัญหานี้ไม่ได้มีปัจจัยแค่เราทีมงานของเราและตัวงานอีกต่อไปแล้วแต่มันคือทั้งโลก สิ่งที่ทำได้คือแบ่งเวลาสำหรับคิด/ แก้ปัญหา/ วางแผน แต่ก็ต้องเผื่อเวลาพักด้วย ไม่งั้นความเครียดและข้อมูลรอบตัวจะทำให้บ้าไปก่อน ตั้งใจทำจิตใจและร่างกายให้แข็งแรงไว้จะได้พร้อมรับทุกอย่างที่มันจะต้องเป็นต่อจากนี้
เรากลับขอบคุณตัวเองที่เคยผ่านช่วงชีวิตหนักๆ มาจนเตรียมการให้ชีวิตเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้และเหมือนมีภูมิคุ้มกันทางจิตใจมาบ้าง
จะจดจำช่วงเวลานี้ที่ได้ทำสิ่งที่ไม่เคยมีเวลาทำเลย
(แม้กระทั่งเดินไปหาเพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้าม???)
จะจำเอาไว้เล่าให้หลาน(ที่ยังไม่เกิด)ฟัง เหมือนตอนที่ย่าเล่าเรื่องสงครามโลกครั้งที่สองให้เราฟังสนุกจนจำได้ถึงทุกวันนี้""เป็นห้องทำงานในบ้านใช้ทำ Computer Graphic และ Painting ในที่เดียว ห้องทำงานเป็นบริเวณที่ได้รับแสงแดดทำให้รู้สึกมีพลังงาน ที่บ้านมีต้นไม้เยอะและมีสัตว์เลี้ยงช่วยให้การทำงานที่บ้านไม่ตึงเครียดจนเกินไป"
"Application ต่างๆ ที่ช่วยซัพพอร์ท WFH สามารถช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพเป็นอย่างดี จึงแทบจะไม่แตกต่างกัน"
"เราจะสามารถปรับตัว และ Manage การทำงานพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น การพัฒนาตนเองในการหา Inspiration รอบตัวและฝึกฝนตนเองให้มีความ Productive ตลอดเวลา การทำงานผ่าน Application จะทำให้ชีวิตง่ายขึ้นบางทีเราอาจจะไม่ต้องไปทำงานทุกวันแล้วก็ได้..."
.
.
.
"พื้นที่ส่วนตัวของการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home ของผมคือที่บ้านเนี่ยแหละครับ ปกติจะชอบนั่งคิดงานที่บ้านอยู่แล้วแต่ปกติจะค่อนข้างแคชช่วล นั่งนอนคิดงานบนโซฟา การทำงานที่บ้านของเราครั้งนี้เลยน่าจะเป็นเรื่องการจัดสเปซให้เหมาะกับการทำงานจริงจังมากขึ้น เพราะที่ออฟฟิศให้ขนคอมพิวเตอร์มาทำงานที่บ้าน เราเลยต้องสละโต๊ะกินข้าวใหญ่ที่บ้านมาทำเป็นโต๊ะทำงานไปเลย...
ที่สำคัญคือจะต้องจัดโต๊ะให้น่านั่งทำงานเพราะเราอยู่บ้านตลอดเวลา Work Space ของเราต้องสวย น่านั่งทำงานและอินสไปร์ เพราะเราทำงานครีเอทีฟ เราอยู่กับความคิดสร้างสรรค์ องค์ประกอบทุกอย่างต้องสนุกเพื่อให้เราทำงานได้ดี"
"ความแตกต่างของการทำงานที่บ้าน และที่ออฟฟิศ ที่ชัดเจนมากๆ เลย น่าจะเป็นเรื่องสังคมและการสื่อสารกันในทีม เพราะการทำงานที่บ้านมันไม่มี Physical Connection เราเดินไปทักทายเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เรา engage กับคนไม่ได้...
แม้แต่ในการประชุมผ่าน Zoom ก็คิดว่ามันไม่เหมือนประชุมกันต่อหน้าเหมือนเรา loss of skill การตอบโต้กันแบบต่อหน้าไป อย่างเช่นการขายงาน พรีเซ้นต์งานต่อหน้าคือมันได้แสดงอารมณ์ได้เต็มที่ ลูกค้ามองมาที่เรา แต่พอผ่านคอลปุ๊บลูกค้าอาจจะฟังเราแต่ไม่เห็นหน้า อาจจะมองแต่หน้าจอที่แชร์อยู่
แต่ใช่ว่าจะมีข้อเสียเสมอไปนะครับ ผมว่าการ WFH ช่วยมากเรื่องการ cut bullshit คือทุกคนชัดเจนว่า role ตัวเองคืออะไร บางทีอาจจะขายงานง่ายขึ้น เพราะทุกคนพูดตรงๆ จบโชะๆ ทุกขั้นตอนการเตรียมงานขายเราอาจจะอธิบายแปะไปใน Presentation มากขึ้น อาศัยการพูดน้อยลง คือวิธีคิดของการทำงานน่าจะเปลี่ยนไปด้วยเลย"
"แน่นอนแหละ ทำงานที่บ้านมีข้อดี-ข้อเสียแน่นอน เอาข้อดีก่อนละกัน ผมค่อนข้างเป็นคน Self-entertain เก่งอยู่แล้ว ฮ่าๆ เราอยู่บ้านเนี่ย จะนั่งทำงานไป เปิดเพลงเสียงดังขนาดไหนก็ได้ จะลุกมาเต้นตอนไหนก็ได้ไม่อายคน มันเหมือนได้วิธี exercise ไปด้วยในตัว บอกตัวเองว่ามี Happy Hour นะ ขอดื่มสักแก้วก่อนไปทำงานต่อช่วงเย็นๆ หรืออนุญาตให้ตัวเองเริ่มงานเร็วขึ้น เลิกเร็วก็ได้ แล้วหลักๆ ข้อดีคือ...ถ้าเราจัดการตารางเวลาการทำงานได้ดีเรื่อง Productivity จะดีมากตอน WFH
แต่ข้อเสียที่ชัดเจนเลยคือเรื่องการต้องจัดการกับความเบื่อมันคือเรื่องไม่ได้เจอคนไม่ได้ออกไปไหน...อยู่ออฟฟิศเรายังเดินไปทักทายเพื่อน ออฟฟิศอยู่ในห้าง ช่วงงานน้อยหน่อยเราก็ชวนเพื่อน ไปเดินห้างหลังจากพักเที่ยงได้ เดินลงไปดูดบุหรี่ช่วงคิดงานไม่ออกหลังเลิกงาน นัดเพื่อนดื่มแก้วสองแก้ว ได้ระบายกับเพื่อนร่วมงาน ไปขายงานลูกค้าถึงจะขายไม่ผ่าน อย่างน้อยเรายังได้เดินทางไปเจอผู้คนบ้าง คือมันมีแอคทิวิตี้คลายเครียดให้ทำเยอะ การจัดการกับสุขภาพจิตเลยจำเป็นมากๆ...
ในเรื่องนี้เราเลยกลับมาที่สเปซของเราว่าถ้าเราทำบ้านเราให้น่าทำงาน จัดห้องหน่อย ไม่ได้เกี่ยวกับความเล็กใหญ่ของห้องเลยนะ ห้องเล็กก็ทำมุมน่ารักสวยๆ ไว้ทำงาน ได้ดื่มวันละนิดหน่อย คอลเพื่อดื่มกับเพื่อนบ้าง แค่นี้ก็น่าจะให้เราพอจะมีความสุขกับชีวิต from home ไปได้อีกสักพัก"
"การ WFH จะมาเปลี่ยนมุมมองการทำงานของเราไปอย่างสิ้นเชิงเลย...
WFH ทำให้เรา Productive ขึ้น จัดการตัวเองมากขึ้น ทำให้เราเห็นว่าอะไรหลายๆ อย่างไม่จำเป็นในการทำงาน และอะไรจำเป็นเปลี่ยนให้คนมาทำงานแบบ Fully Online อย่างรวดเร็ว ในอนาคตออฟฟิศอาจจะไม่จำเป็นอีกต่อไปก็ได้ ถ้าเราปรับตัวได้เร็วจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งการไม่มีออฟฟิศ คือลดค่าใช้จ่ายได้เยอะมากๆ ต่อเดือนสำหรับบริษัทใหญ่ๆ เลย กับเรื่องตัวเองที่เราได้เห็น มันถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ สิ่งของที่สำคัญในชีวิตคืออะไรบ้าง เรา Mindful ในเรื่องการบริโภค อุปโภคมากขึ้น หรือแม้เรื่องความสุขจริงๆ คืออะไร มันเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนอนาคตเราแน่นอน จากเหตุการณ์นี้เราไม่รู้เลยว่าเราจะได้เจอคนที่เรารักอีกหรือเปล่าถ้าเราติดขึ้นมาฉะนั้นการได้เจอกันจะมีค่ามากขึ้น เรื่องสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนมากว่าดีขึ้น หลังจากทุกคนไม่เดินทางหลังจากนี้คนจะเดินทางน้อยลง E-commerce จะโตหนักเลย คนจะสั่งทุกอย่างมาที่บ้านโดยไม่ต้องเดินทาง retail จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ส่วนเรื่องการดูแลตัวเอง การท่องเที่ยว การวางแผนอนาคต เรื่องการเงินที่คิดว่าทุกคนจะต้อง Re-Think ครั้งใหญ่เลยว่าการวางแผนแบบเดิมอาจจะไม่ได้ผลอีกต่อไปครับ"
.
.
.
#CheezeLooker #WFH #WorkFromHome #CSpace
ทั้งคู่โคจรมาพบกันผ่านดนตรี แฟชั่น และศิลปะที่พวกเขาต่างใช้ขับเคลื่อนชีวิต...
แค่ปากนุ่มน่าจูบ...ก็ชนะแล้ว!
โค้งสุดท้ายปลายปี ที่ลานหน้าห้าง THE MALL KORAT #บ้านของคนโคราชแห่งนี้ บ่ายสามถึงสี่ทุ่ม!
โดยมี A-Must-Have-Item ของคนยุคนี้ อย่าง "All New Monkey" ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ "NOT ONLY FOR RIDING มังกี้ไม่ได้มีไว้ แค่ให้ขี่" ออกเดินทางไปกับเราด้วย!!!