"การทับซ้อนของเวลา + โลกคู่ขนาน = TENET"

#Watchlist ต้องเป็นโรบอทเท่านั้นถึงจะเข้าใจ และเก็บดีเทลของ Nolan ได้ทั้งหมด
27.08.2020
3540
Shares

“ปวดหัวในปวดหัว แต่ความดีงามยังเหมือนเดิม” 

เรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องแรกที่เราจะไม่พูดถึงเรื่องย่อ! เพราะในขณะที่กำลังเขียนรีวิวความรู้สึกหลังดูจบ ก็ยังไม่สามารถเขียนเพื่อเรียงลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังได้ เอาเป็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเวลา ที่ไม่สามารถเรียกว่าการข้ามเวลาได้เต็มปาก เป็นเหมือนการทับซ้อน ย้อนกลับของเวลา ที่ถ้าหากเราเผลอไปโฟกัสแบบซีเรียสมากๆ จะยิ่งเพิ่มความปวดหัวไปอีกหลายเท่า ซึ่งเราไม่แนะนำให้ตั้งคำถาม และคิดตามหนังในเวอร์ชั่นทฤษฎีเครียดๆ

.
.
.

ความรู้สึกหลังดูจบ

 - สำหรับเรา เรื่องนี้ไม่ใช่ “หนังเดินทางข้ามเวลา” แต่เป็นลูกผสมระหว่าง “การทับซ้อนของเวลา + โลกคู่ขนาน” พร้อมพล็อตเรื่องสุดล้ำ ที่มีซีนการย้อนกลับของเวลาเกิดขึ้นอยู่ข้างๆ และในเวลาเดียวกันกับซีนปัจจุบัน ซึ่งต้องบอกเลยว่า “นับถือคนคิดพล็อตเรื่องนี้มาก คิดได้ยังไง”
 

.
.
.
- อย่างหนึ่งที่เราอยากแนะนำก่อนดูเลยคือ เช็คสภาพความพร้อมของจิตใจก่อนเป็นอันดับแรกเลย ว่าช่วงนี้แบกรับความเครียด หรือเรื่องปวดหัวมากพอหรือยัง ถ้ายังพอรับไหว แนะนำว่าควรไปดูให้ไวที่สุด จะได้มาคุยกับคนรอบข้างเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ในหนังได้อย่างเมามัน ว่าคนอื่นๆ คิดเหมือนกันมั้ย แต่ถ้าช่วงชี้ทุกสิ่งรอบตัวกดดันจนแบกรับอะไรหนักๆ หัวไม่ไหวแล้ว แนะนำให้พักเบรกหลีกเลี่ยงการดู TENET ออกไปก่อน

.
.
.
- รู้สึกว่า Nolan พยายามสอดแทรกเรื่องตลกๆ เข้าไปเยอะพอสมควร เหมือนเค้าพยายามพูดคุยกับคนดูตลอดเวลา ด้วยการตั้งคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ พร้อมโยนประโยคจิกกัด เหน็บแนมให้คนดูอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่มาช่วยเบรกความตึงเครียดที่หนังกำลังเล่าเรื่องอยู่ให้ซอฟต์ลงได้ดี

.
.
.
- เป็นหนังที่ปวดหัวที่สุดของรอบปีนี้ หรือจะเรียกว่าชวนปวดหัวที่สุดของ Nolan เลยก็ว่าได้ จนมีบางซีนที่รู้สึกว่า ถ้าเป็นเด็กสายวิทย์ รักวิชาฟิสิกส์ มันคงง่ายกว่านี้(มั้ง) แต่พอดูจบเท่านั้นล่ะ อยากจะบอกคนที่ยังไม่ได้ดูว่า ให้โยนความคิดซีเรียสๆ เกี่ยวกับเรื่องราว Sci-Fi ที่จะต้องคิดตามทฤษฎีเกี่ยวกับเวลาทิ้งไปให้หมด แล้วเปลี่ยนเป็นดูแบบชิลล์ๆ แทน จะได้ไม่ต้องมานั่งปวดหัวตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบกับคำถามในใจที่ที่สุดแล้ว Nolan ก็ไม่ยอมเฉลยอยู่ดี
 
.
.
.
- ประทับใจ Soundtrack มาก มาก มาก มันทั้งหนักหน่วง และบีบคั้น จนรู้สึกอึดอัด ระทึก หายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะซีนที่ต้องลุ้นระทึก เรียกว่าหลงรักจนเทให้หมดใจไปเลย เพราะมันช่วยเสริมให้ตัวหนังมีรสชาติที่จัดจ้านยิ่งขึ้น จนไม่สามารถกะพริบตาได้เลย ส่วนหนึ่งที่ไม่กล้ากะพริบตาก็กลัวว่าจะพลาดอะไรจากหนังไป แต่พอดูจบกลับรู้สึกว่า Nolan พยายามบีบอัดเรื่องราวการย้อนกลับของเวลาที่มีขนาดใหญ่มากๆ ลงสมองของคนดูได้อย่างบ้าคลั่ง ไม่เกรงใจเลยว่า “นี่คือคนดู ไม่ใช่โรบอท ที่จะสามารถจดจำทุกดีเทลได้”

.
.
.
- สำหรับเราแล้ว เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังดูหนังสืบสวนในสไตล์ Sci-Fi ที่ยื่นบทบาทให้คนดูเป็นนักสืบขี้สงสัยแทน จากซีนที่ดูธรรมดาไม่ได้รู้สึกว่าจะมีความลับอะไรแอบแฝง หรือมีเหตุผลอะไรมาซัพพอร์ทว่านี่คือใคร ทำไปทำไม เป็นแบบนี้ได้ยังไง แต่พอผ่านครึ่งเรื่องไปแล้ว “มันเป็นการขยี้ปมการย้อนกลับของเวลาอีกครั้ง” เพื่อพาคนดูย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ธรรมดาๆ ที่เกิดขึ้นในตอนต้นเรื่อง ว่าที่จริงแล้วมันมีอะไรมากกว่าที่คิด! จนถึงขั้นที่รู้สึกว่า ถึงไม่ย้อนกลับมาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในตอนนั้นก็ไม่เป็นไร แต่พอถึงคิวที่ย้อนมาเฉลยแล้วละก็ มันทำให้ความชื่นชอบที่มีต่อหนังเรื่องนี้มันเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลยทีเดียว


.
.
.
- นักแสดงที่เราชื่นชอบมากที่สุดกลับไม่ใช่ตัวเอกของเรื่องอย่าง John David Washington และ  Robert Pattinson เพราะค่อนข้างรู้สึกว่ามันมีความแบนไร้มิติ และนิ่งอยู่พอสมควร โดยส่วนตัวคือประทับใจกับการแสดงของ Kenneth Branagh มากๆ รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ดึงดูดที่น่าสนใจกว่า ทั้งแววตา ท่าทาง และวิธีการพูด
 
.
.
.
- เราว่าเรื่องนี้น่าจะกลายเป็นภาพยนตร์ของ Christopher Nolan ที่คนมีตัวเลขการดูซ้ำอีกครั้งเยอะที่สุด เพราะมันไม่ใช่แค่การเก็บดีเทลที่พลาด แต่มันคือการทำความเข้าใจพล็อตเรื่องกว่าครึ่งอีกครั้งแบบมีสติครบถ้วน เพราะครั้งแรกนั้นเหมือน โดนต่อยด้วยหมัดหนักๆ ไปที่เดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งมั่นใจได้เลยว่าเงินที่เค้าเอาไปซื้อเครื่องบิน เพื่อมาขับชนจริงๆ โดยไม่พึ่งพา CG นั้น จะได้คืนมาอย่างง่ายๆ แน่นอน



.
.
.




Special Thanks:
www.imdb.com 

#Watchlist #CheezeLooker #CheezeLooker #movie #ChristopherNolan #TENET