PENINSULA สายแอ็คชั่นจะรัก แต่ฝั่งดราม่าจะไม่กดถูกใจเรื่องนี้

#Watchlist ไล่ล่าระห่ำ พลิกแตกต่างจาก Train To Busan ไปไกล
24.07.2020
2837
Shares


หลังจากที่รอคอยกันมานาน ในที่สุด Peninsula ภาพยนตร์ซอมบี้ชื่อดังจากเกาหลีที่เป็นภาคต่อจาก Train To Busan ก็ได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์สักที 
และสำหรับหลายๆ คนคงมีคำถามในใจประมาณว่า “ภาคนี้มันจะดีกว่าภาคแรกมั้ย” ต้องบอกเลยว่ามันมีข้อดีกันคนละแบบ ถ้าเรื่องดราม่าหนักๆ เน้นประเด็นการเล่นกับจิตใจของคนต้องยกให้ Train To Busan แต่ถ้ามองหาหนังสักเรื่องเพื่อความบันเทิง เน้นความมัน โดยตัดเรื่องการเปรียบเทียบกับภาคแรกออกไป เราว่า เรื่องนี้ก็คุ้มค่ากับเงินค่าตั๋วที่ต้องจ่ายไป
.
.
.

เรื่องย่อฉบับกะทัดรัด

สำหรับภาคนี้จะเป็นเรื่องราว 4 ปีต่อมา หลังจาก Train To Busan ที่เกาหลีใต้โดนซอมบี้ถล่ม และประเทศก็ปิดตายไปในที่สุด ส่วนในภาคนี้จะเป็นการพูดถึงกลุ่มคนที่หนีตายไปอยู่ที่ฮ่องกง แต่มีสิ่งของบางอย่างที่ต้องกลับไปตามหาที่เกาหลีใต้ ทำให้พวกเค้าต้องเดินทางกลับไปยังพื้นที่รกร้างอีกครั้ง
.
.
.

ความรู้สึกหลังดูจบ 

- ไม่ต้องดู Train To Busan ก็สามารถไปดู Peninsula ได้เลย เพราะถึงแม้จะเป็นเรื่องราว 4 ต่อมา แต่มันไม่ได้มีความเชื่อมโยงสำคัญๆ ที่ต่อเนื่องจากภาคแรก สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้มีแค่ภาคที่แล้วเกาหลีใต้โดนซอมบี้ถล่มจนประเทศปิดตายแค่นั้น


.
.
.
- ถ้าคุณชอบ Train To Busan ในภาคแรกมากๆ คุณอาจจะไม่ปลื้ม Peninsula สักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าภาคสองไม่ดี แต่มันแค่แตกต่างจากภาคแรกแบบสิ้นเชิง เรียกว่าเป็นการขยำใหม่ในแบบที่สายแอคชั่นจะต้องรัก แต่สายดราม่าจะไม่กดถูกใจเรื่องนี้ แนะนำว่าควรดูแบบไม่ยึดภาคแรก และอย่าคาดหวังอะไรเยอะ คุณจะสนุกไปกับมันได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น

.
.
.
- ถ้าให้เล่าในแบบที่เข้าใจง่ายและเห็นภาพชัดสุดคือ ต้องบอกว่า มันคือ Fast and Furious เวอร์ชั่นซอมบี้ที่สนุกมาก บวกกับการขับรถไล่ล่าในสไตล์ Mad Max แบบเบาๆ แต่ Visual Effects ทั้งหมดจะเป็นฟีลแบบการ์ตูนสายดาร์คๆ หน่อย มีความลอยให้รู้สึกแอบขัดใจอยู่นิดๆ เหมือนกันเพราะมีซีนพวกนี้เยอะพอสมควร

 
.
.
.
- มิติและความสัมพันธ์ของตัวละครเบาบางกว่า Train To Busan ค่อนข้างมาก เอาจริงๆ คือเนื้อเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่การเอาชีวิตให้รอดจากซอมบี้จนถึงตอนจบ ซึ่งถ้าใครดูหนังซอมบี้บ่อยๆ ก็จะคุ้นเคยกับพล็อตเรื่องแบบนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องนี้ความสนุกอยู่ระหว่างทางตั้งแต่ต้นจนจบ ที่ถึงแม้หนังจะไม่ได้คาดเดาอะไรยาก ก็ยังสนุกไปกับลำดับการเล่าเรื่องที่สรรหาเรื่องราวต่างๆ มาเพิ่มเติมรสชาติระหว่างทางได้อย่างมีสีสัน



.
.
.
- ถือเป็นหนังที่ซอมบี้ไม่น่ากลัว และแทบไม่มีตัวตนที่เด่นชัดเลย ให้ความรู้สึกที่ว่าเป็นการใช้ซอมบี้ได้สิ้นเปลืองมาก ไม่ค่อยใช้นักแสดงเยอะเท่าในภาคแรก ส่วนมากเป็น CG วาดๆ เขียนๆ ให้ฟีลแบบเปรียบซอมบี้เป็นขยะที่ต้องแวะเก็บกวาดไวๆ ทุกหัวมุมถนน


.
.
.
- ยังคงสอดแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวในช่วงเวลาวิกฤติ เพื่อแสดงออกถึงนิสัยด้านดาร์คๆ ของมนุษย์ และตบหัวด้วยประเด็นการเสียสละเหมือนในภาคแรก แต่เป็นอะไรที่เบาบางกว่า ไม่เน้นเรื่องดราม่าหนักๆ ให้จุกสะอื้นเท่าภาคแรก แต่เน้นหนักไปทางแอ็คชั่น ดูได้สนุกๆ เพลินๆ เพื่อความบันเทิง

.
.
- เรื่องแสงไฟในเรื่องคือดีงาม เพราะส่วนมากมันเป็นซีนกลางคืน แต่หนังกลับให้ความรู้สึกมืดที่มีแสงสว่างเพียงพอ และสบายตาแบบที่เห็นดีเทลทุกอย่างชัดเจน ไม่มืดจนมองไม่เห็น แต่รวมๆ คือยังคงคุม Mood & Tone แบบดาร์คๆ ได้สวย รวมไปถึงเรื่องของ Make-Up ที่เราชอบมากๆ คือมันดูสกปรก และเรียลแบบขั้นสุด โดยเฉพาะฟันดำๆ ของนักแสดงทุกคน

.
.
.
 
- ดูหนังมาจนใกล้จะจบแล้ว ก็แอบคิดในใจว่า “เรื่องนี้ ไม่ร้องไห้เหมือนภาคแรก” แต่ผิดคาด รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็ไหลเบาๆ แล้ว ถึงความรู้สึกจะไม่รุนแรงจนจุกมากเท่ากับตอนภาคแรกก็ตาม
 
.
.
.
- ขอปิดท้ายด้วยเรื่องของนักแสดงเรารู้สึกตัวละครที่เค้าจงใจให้เป็นตัวเด่นอย่างพระเอก กลับถูกตัวประกอบที่มีซีนไม่เยอะกลบจนจืดชืด โดยเฉพาะคนที่รับบทเป็นแม่ และบรรดาลูกๆ กลับมีบทบาทที่โดดเด่น และน่าสนใจกว่าทั้งที่เป็นแค่ตัวประกอบ



.
.
.

 
สามารถรับชม Peninsula ได้แล้ววันนี้ทุกโรงภาพยนตร์
 

#Watchlist #CheezeLooker #CheezeLookerRecommended #movie #news #peninsula