SPECIAL INTERVIEW : NGONNGONTIRI, FROM BKK TO NYC

จากนางแบบไทย... ออกเดินทางไกล... จนกลายเป็นอาจารย์!!!
24.12.2022
1630
Shares
นางแบบสาวหน้าไทยชื่อแปลก 'งอนงอน' ที่หลายคนอาจคุ้นตากันบ้างจากแคมเปญ และผลงานต่างๆ จากต่างประเทศ หรือใครเองที่ติดตาม CHEEZE MAGAZINE มายาวนานก็น่าจะเคยเห็นภาพสตรีทสไตล์ และงานถ่ายแบบ เดินแบบมากมาย กับเรื่องราวและเส้นทางที่เปลี่ยนชีวิต 'งอนงอน' หลายครั้ง... จากนางแบบไทย... ออกเดินทางไกล... จนกลายเป็นอาจารย์ที่นิวยอร์ค!!!


photo by Sebastian Morales
.
.
.
ก่อนจะไปถึงเรื่องงานที่ทำปัจจุบัน
อยากให้งอนเล่าคร่าวๆ ก่อนว่าจบที่ไหน คณะอะไร ชีวิตวัยเรียนเป็นยังไงบ้าง
งอนงอนจบภาควิชานฤมิตศิลป์ เอก Exhibition Design จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นคณะเล็กๆ เพราะฉะนั้นเรารู้จักกันหมด สนิทกันหมดทุกรุ่น มีหลายวิชาที่เรียนรวมทุกภาคคณะ บางทีห้องข้างวันนี้เป็นคลาสแฟชั่น เราก็ชอบไปแกล้งๆ เดินแบบด้วย สมัยนั้นเพิ่งจะมี American Next Top Model ครั้งแรก ชอบเล่นเป็น Reality Showในห้องเรียนบ้าง หน้าคณะบ้าง เอาชุดรุ่นพี่มาใส่บ้าง ทำวีดีโอจริงจังมาก แล้วบางทีเพื่อนก็ให้เดินพรีเซ้นท์ชุดเพื่อนจริงๆ (หรือเราไปบังคับรึเปล่า5555) หรือวันนี้ห้องข้างๆเป็นห้องของเอกร้องเพลง บางทีเค้าซ้อม opera เราก็จะนั่ง lipsync ตามเค้าไปด้วยค่ะ 555 คือบางทีก็สนุกเกินไปนิดนึง คิดว่าอาจจะทำให้อาจารย์กลุ้มใจบ้าง

เริ่มต้นอาชีพนางแบบได้ยังไง

เริ่มจากสมัยมัธยมค่ะ โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี) ทุกปีจะมีแฟชั่นโชว์โดยนักเรียนทำตั้งแต่ดีไชน์ชุด ทำเวที แคสติ้ง เดินแบบ จำได้ว่าตอนม.4 มีรุ่นพี่มาชวนไปแคสติ้ง ซึ่งตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย เป็นเด็กเนิร์ดมากๆ คิ้วหนาๆ เดินหลังค่อมๆ ตอนแรกไม่อยากไป แต่พี่ๆ เค้าพูดประมาณว่า มาช่วยแคสหน่อยไม่มีคนมาเลย เดินคนแรก แล้วคนเยอะมาก อายมากแบบฉันมาทำอะไรที่นี่ ส้นสูงก็ไม่เคยใส่ นึกในใจว่าอย่าล้มแล้วรีบออกไปให้เร็วที่สุดก็พอ  จำได้ว่านั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่โดนกันคิ้ว ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่ทำให้รุ่นน้องคนนี้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น555 นั่นคือเวทีแรกในชีวิตค่ะ แล้วหลังจากนั้นก็คิดว่า โอเคหมดละพอละ ลองครั้งเดียวก็พอ ไม่ล้มก็บุญมาก ปรากฏว่าหลังจากนั้นไปเที่ยวกับครอบครัวแล้วหนึ่งในทริปนั้นมีช่างแต่งหน้าชื่อพี่อาร์ต เค้าก็ทักว่าน่าจะไปเป็นนางแบบนะ เดี๋ยวพาไปรู้จักพี่เจี๊ยบ เอกมล อรรถกมล ตอนนั้นพี่เจี๊ยบทำสไตลิสที่หนังสือแพรว เหตุการณ์นี้ที่ทำให้ได้เริ่มทำงานในวงการแฟชั่นไทยค่ะ


Vogue Thailand, photo by สุดเขต จิ้วพานิช


แล้วจู่ๆ ก็เห็นว่าบินไปทำงานที่เมืองนอก อะไรที่ทำให้ตัดสินใจบินไป * หรือมีความกี่ยวข้องกับการตัดสินใจไปเรียนต่อด้วย
ตอนที่เรียนจบก็มีโอกาสฝึกงานอยู่ประมาณสองสามเดือนค่ะ แล้วก็คิดว่าอยากจะเรียนต่อเลยแต่อยากเรียนด้าน museum management ที่ฝรั่งเศส อยากไปมากถึงขั้นไปเรียนคอร์สภาษาฝรั่งเศสเตรียมตัวไปสอบ (แต่ทุกวันนี้พูดไม่ได้สักประโยคนะคะ555) แล้วก็คิดว่า ถ้าไปเรียนจบกลับมาทำงานคงไม่มีเวลาไปที่อื่น เลยอยากลองมานิวยอร์กก่อนกลับไปสอบ เหมือนตอนนั้นไม่ได้อินนิวยอร์กเลยด้วยซ้ำ แต่เวลาทำงานกับคนที่จบมาจากนิวยอร์กจะชอบมาก แบบทำไมเค้าเร็วจัง เลยอยากรู้ว่าคนนิวยอร์กเป็นยังไง ทำไมมีนิสัยที่เฉพาะเจาะจงคล้ายๆกัน ไม่ได้คิดว่าจะมาทำงานด้วยซ้ำ คิดว่า ลองไปเที่ยว


street fashion for Pipatchara photo by Poupay Jutharat

พอมาถึง เดินเที่ยวเล่นอยู่อาทิตย์ เราก็ไม่มีอะไรทำละ แล้วค่าครองชีพสูงมาก อยู่เฉยๆ ก็รู้สึกผิด บวกกับพี่โรซี่ ชีรา ชูวิเชียร แนะนำให้ลองเอาพอร์ตไปยื่นเอเจนซี่ดู เราก็อะลองดู ดีกว่าอยู่เฉยๆไหนๆก็มาแล้ว ไปที่แรก Next Model ซึ่งเป็นเอเจนซี่ใหญ่มาก แน่นอนว่าไม่ได้ค่ะ5555 แทบจะไม่ได้ดูเราเลยมั้ง ให้ฟิวฉันมาทำอะไรที่นี่อีกครั้ง5555 ก็แอบท้อคิดว่าเออลองละพอละ พี่โรซี่ก็ปลุกใจ บอกว่าปกติมาก ที่นี่คนเยอะ ต้องไปอีก อย่ายอมแพ้ และแนะนำให้รู้จัก model scouter หรือแมวมองนางแบบ Damon Rutland จาก Nomad Management (ดูแล Coco Rocha, Soo Joo, Hoyeon Jung) ที่นี่จะแยกกันชัดมากค่ะ แมวมองก็คือคนคอยหาเด็กใหม่ให้เอเจนซี่ ไม่ได้หางานให้ คือเค้าจะได้เปอร์เซนต์จากเอเจนซี่ถ้าเราตกลงเซ็นสัญญากับที่นั่น แล้ว Damon ก็แนะนำให้เราไปส่งพอร์ตหลายๆที่ สุดท้ายมาได้อยู่กับ Q Models Management New York และอยู่มาตลอดถึงทุกวันนี้ค่ะ และทาง Nomad ก็ยังเป็น Global Manager และดูแลฝั่ง LA และ Miami ให้จนถึงทุกวันนี้ค่ะ สรุปก็คือในตอนนั้นยังไม่มีความคิดจะเรียนต่อเลยค่ะ พอได้เริ่มทำงาน ก็เลยอะอยู่ไปอีกสามเดือนละกัน พอได้งานอีก ก็อยู่ต่อไปอีก1ปีละกัน ไปๆมาๆ ก็อยู่ยาวเลยค่ะ


New York Fashion Week 2016, AllSaints


 New Balance

ความแตกต่างในการทำงาน
* โมเดลที่นั่นกับที่ไทย เคยกระทบไหล่คนดังบ้างมั้ย 
ค่อนข้างแตกต่างกันมากค่ะ ที่นี่คนเยอะมาก คู่แข่งก็เยอะ ไม่มีใครต้องง้อเรา เพราะลูกค้ามีตัวเลือกเยอะแยะ ไม่ไปแคสติ้งก็คือไม่ได้ ไปสายก็ไม่ได้ ต้องมีความรับผิดชอบเยอะมาก บางทีเราเองไม่ได้อยากได้งานนี้ ไม่อยากไปแคสติ้ง แต่ก็ต้องไป เพราะถ้าไม่ไป เราก็เสียเครดิตกับเอเจนซี่ เราจะดูเรื่องเยอะหรอ งั้นไม่ส่งงานให้นะ คือต้องปรับตัวมากๆ ในส่วนของ culture การทำงานที่นี่ด้วย คือถ้าเราไปไม่ได้จริงๆ เราต้องอธิบายเหตุผลที่ดี มีความ professional ไม่ใช่อยู่เฉยๆไม่ไป เค้าจะไม่รอเรา ไม่ง้อเรา เค้าก็แค่หาคนใหม่เลย การทำงานก็รวดเร็วมาก เพราะทุกอย่างแพง จำได้ว่าได้แฟชั่นโชว์แรกที่นี่ ได้อีเมลส่งมาว่า ให้ไป 5โมงเย็น โชว์เดิน 2ทุ่ม ตอนแรกตกใจมาก โทรไปถามเอเจนซี่ว่า ฉันโดน canceled หรอ เพราะที่ไทยสมมุติโชว์2ทุ่ม เราต้องไปตั้งแต่ 10โมงเช้า เอเจ้นท์อธิบายว่าไม่นะนี่ก็ปกติไง ไปถึงแต่งหน้าทำผม ซ้อม เปลี่ยนชุด เดิน ส่วนใหญ่ fashion show จะไม่ค่อยเกิน 5 ชม. เพราะนอกจากค่าเช่าแพงแล้ว ค่าจ้างต่อชม.ทุกคนก็แพง นางแบบเองส่วนมากมีมากกว่า 1 job ต่อวัน ต้องเดินสายไปทำอย่างอื่นต่อ ตอนที่มาใหม่ๆ บางวันมี casting 10 กว่าที่ วิ่งตาเหลือกค่ะ เพราะเราเพิ่งมา ลูกค้าหรือcasting directors ยังไม่รู้จักหรือยังไม่เคยเห็นเรา ซึ่งก็คือเราต้องไปทุกที่ให้คนเห็นเรามากที่สุด

ได้มีโอกาสเจอคนดังบ้างค่ะ ไม่คิดว่าเราจะได้มาทำงานด้วยหรือเจอคนเหล่านี้ อย่างคนใน mother agency เดียวกันก็มี Soo Joo เจอเวลามี agency party หรือไปถ่ายงานห้องข้างๆ ถ่าย Bella & Gigi Hadid (ตัวจริงนิสัยดีและสวยมาก) Kendall ก็สวยแต่เค้าจะเป็นฟิวมาไวไปไวมี guard ตลอดเวลา ไม่เคยคุยด้วยค่ะ555 ที่กรี๊ดมากๆคือ Paris Hilton และ Mark Ronson (บอกวัยมาก5555) มาดูโชว์และเข้ามาคุยใน backstage ที่งอนงอนเดินของ Charlotte Ronson, ได้มีโอกาสทำงานกับช่างภาพ David Burton ตอนที่ถ่าย TeenVogue, จริงๆ งอนๆ ไม่ค่อยรู้จักเซเลปเท่าไหร่ อย่างตอนที่ Tommy Ton มาถ่ายรูปไปลง style.com ตอนนั้นก็คือไม่รู้ไปเลย เด๋อมาก จนมีคนมาบอกว่าคนเมื่อกี้คือ Tommy Ton นะ ถึงได้รู้


Man Repeller

เรื่องประทับใจที่สุดที่เคยทำงาน
(นางแบบ)
เรื่องที่ประทับใจคืองานที่ได้ถ่าย adให้ Uniqlo แต่ไม่ใช่ฐานะนางแบบ ได้ถ่ายในฐานะศิลปินร่วมกับงานตัวเองคืองานที่ชื่อ DeepTalking เป็น Performance + Installation ที่งอนงอนเขียน bots มา3 ประเภท หนึ่งในนั้นคือ machine learning bot แล้ว trained bot ให้ตอบด้วยสำเนียงหรือภาษาแบบ opera จุดประสงค์ของการแสดงนี้คือต้องการให้ bots ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากการพูดของเราและการฟังของmachine เพื่อให้เราในฐานะนักแสดง improvisation กับข้อผิดพลาดเหล่านั้น real time กองถ่ายยกทั้งกองไปที่สตูดิโอของงอนงอนตอนนั้นที่ Mana Contemporary ฉากที่เห็นใน ad คืองานของงอนงอนเองเซ็ทเองทั้งหมด กองถ่ายแค่จัดไฟให้ จำได้ว่ารูปใน reference แต่งหน้าที่เค้าใช้คือรูปเราในชีวิตจริงที่เราแทบจะไม่แต่งหน้าเลย ตอนที่ถ่าย เราก็มีความติดโพส ช่างภาพต้องสั่งว่า ห้ามโพส ยืนเหมือนเวลาตัวเองทำงานปกติ ซึ่งเราทำไม่ได้555 เกิดมาไม่เคยมีใครให้เป็นตัวเองมาก่อน จำได้ว่าถ่ายนานมาก เพราะเรากลายเป็นเกร็ง ทั้งๆที่ทำงานมานานมาก แต่ไม่เคยได้เป็นตัวเอง ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่สนุกมากค่ะ ภูมิใจด้วย



Uniqlo ad with DeepTalking

การตัดสินใจไปเมืองนอกครั้งนั้นเกี่ยวข้องกับการเรียนต่อหรือเริ่มสนใจเรียนหลังจากได้ไปเห็นอะไรใหม่ๆ
ที่น่าสนใจ 
หลังจากที่ทำงานเป็นนางแบบมาสักพัก ก็เริ่มรู้สึกวนๆ เหมือนเดิม เริ่มอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ เราก็เริ่มไปฝึกงานที่ต่างๆ เจแปน วิจฉิกา อุดมศรีอนันต์ (เพื่อนศิลปกรรม) แนะนำให้ไปฝึกงานกับผู้กำกับและช่างภาพ Bon Duke ได้เป็นผู้ช่วยช่างภาพ ได้ตัดต่อวีดีโอ และ Bon เองเป็นคนชอบอัพเดท Technology ใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ technology ใหม่ๆด้วย พอเราได้ลองทำอะไรที่คล้ายที่เรียนก็เริ่มสนุก เริ่มคิดถึงสมัยเรียน อยากทำงาน creative อีก ก็เลยเริ่มมาทำงาน Music Performance กับเพื่อนๆกลุ่มนักดนตรี RE เน้นแนวทดลอง เช่นเอามือถือไปจ่อตู้แอมป์ ให้เป็นเสียง feedback, เอาไขควงมาถูกสายกีต้าร์ เล่นอยู่เกือบปีเราก็เริ่มอยากทำอะไรแปลกๆ เช่นแกะที่ดักควันไฟมาทำเป็นเครื่องดนตรี แต่ก็ทำมั่วๆ ผิดๆถูกๆ ไม่เข้าใจบ้าง อยากเข้าใจ ก็เลยคิดว่าอาจจะถึงเวลากลับไปเรียนแล้วล่ะ บวกกับพี่เหมียว Tarida (projecttSTUDIO) ซึ่งเป็นรุ่นพี่กราฟฟิกที่ศิลปกรรมและเป็น mentor คนสำคัญในชีวิต แนะนำว่าไปเรียนต่อก็ดีนะ เราจะได้มีมุมมองหรือทางเลือกในชีวิตเพิ่มขึ้น ตอนนั้นก็เลยตัดสินใจสมัครเรียน แต่ก็ยังทำงานไปด้วย


DeepTalking


Live from MicroWorld by MORAKANA

ชื่อจริงๆ
ของการเรียนสาขา หรือวิชานี้คืออะไร แล้วมันสามารถเอามาใช้ในชีวิต (การทำงาน) หรืออาชีพอะไร... เผื่อใครคิดไม่ออก
คณะที่เรียนชื่อ Interactive Telecommunications Program (ITP), Tisch School of the Arts, New York University ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกว่าชื่อคณะบอกอะไรเลย  ถ้าให้สรุปว่าโรงเรียนนี้สอนอะไร คือสอน programming ให้นำไปใช้ใน art หรือ design พอเข้าไปเรียนจะมีวิชาให้เลือกหลากหลายมาก มีทั้ง Software Programming (frontend-backend), Physical Computing(เช่น hardware, robotic, PCBs), Fabrication(เช่น woodshop, laser cutting, CNC), Video-Animation-VR-AR, และรวมถึง Art Theory, Design, UX UI. วิชาที่งอนงอนเลือกส่วนใหญ่เน้น Software, Hardware, Sound และ Performance ค่ะ แต่ละคนสามารถเลือกวิชาเองแต่ละเทอมเพราะฉะนั้นคนที่จบไปก็จะมีอาชีพที่หลากหลายมาก แต่โดยรวมก็คือเป็นสายอาชีพด้าน Art + Technology

behind the scene by Sebastian Morales


TK1971 at RÝMD - Iceland


Oracle —Alt-Text for the Future - NUUM Collective, Mana Contemporary, photo by Tachpasit Kunaporn

ตัวงอนงอนเองจบมาส่วนใหญ่ทำ
Performance เป็นหลัก ทำ solo ของตัวเองและเป็น founding member ของ NUUM Collective ด้วย (NiNi Dongnier, Tiri Kananuruk งอนงอน, Nuntinee Tansrisakul, Mimi Yin and Yuguang Zhang) ก็จะทำตั้งแต่ coding, sound, visual, hardware ทำอุปกรณ์เองหรือบางทีก็ทำเครื่องดนตรีเอง แล้วก็มีบริษัทที่ทำด้วยกันกับ partner ชื่อ Sebastian Morales ชื่อบริษัท MORAKANA รับทำงาน custom หรืองาน Research & Development เน้นทางด้าน hardware และ software ลูกค้าก็จะมีตั้งแต่ commercial และ ศิลปินมาให้ทำ installation ให้ค่ะเช่น Aquaticode, Clase Azul Tequilas, Gucci, E-Flux, Steffani Jemison, Maxwell Neely-Cohen และ Juan Miguel Marin



Oracle —Alt-Text for the Future - NUUM Collective, Mana Contemporary, photo by Tachpasit Kunaporn

ล่าสุดได้ยินว่าจากการเริ่มต้นที่เป็นนักเรียนกลายมาเป็นครูสอน
ฟังดูเป็นอะไรที่เท่มากๆ เล่าคร่าวๆ ให้เราฟังถึงที่มาที่ไป
ตอนที่เรียนจบก็มีอาจารย์ (และผู้ร่วมก่อตั้งจาก School for Poetic Computation (SFPC) ชื่อ Taeyoon Choi มาติดต่อให้ไปเป็นผู้ช่วยอาจารย์ให้กับ CW&T (Che-Wei Wang & Taylor Levy) วิชา Poetic Hardware. Taeyoon บอกว่าเค้ามาดูงาน perform ของเราตอนเราเป็นนักเรียนแล้วชอบ (งานตอนนั้นคือ TK1971 งอนๆทำหมวกที่ detected ตำแหน่งหัวและลมหายใจ และสร้างเสียงreal time) ตอนนั้นก็ยังกล้าๆ กลัวๆ ยังบอกเค้าว่าฉันจะพูดรู้เรื่องหรอ555 แต่ก็ตอบตกลงทันทีเพราะว่าชอบโรงเรียนนี้มากๆ เป็นโรงเรียนเล็กๆ แต่คุณภาพแน่น คล้ายๆ หลักการของ Black Mountain College คือ an artist-run school และก็ชอบ CW&T ด้วยค่ะ นี่ก็คือจุดเริ่มต้นของการได้เข้ามาวงการการศึกษา และในขณะเดียวกันเราก็ยังทำงานส่วนตัวคืองาน performance, งานนางแบบ และบริษัทไปด้วย


Live From MicroWorld photo by Sebastian Morales


TK1971 at RÝMD - Iceland

หลังจากเป็นผู้ช่วยอาจารย์และเป็นคนสอน workshop บ้างมาประมาณ 4 ปี ทางโรงเรียน Collaborative Arts, Tisch School of the Arts, New York University ก็ติดต่อมาให้ไปสอนเดี่ยว ให้เราเสนอคลาสไป สอนวิชาชื่อ Performing Voice and Talking Machine คือสอน programming เกี่ยวกับ speech synthesis (ภาษา JavaScript) เพื่อนำมาใช้ใน Performance เป็นคลาสที่เขียนขึ้นมาจากงานที่ตัวเอง research และทำอยู่ด้วยค่ะ สอนเดี่ยวครั้งแรก เป็นตะคริวทุกสัปดาห์ค่ะ5555 เกร็งมาก กลัวพูดผิด เดี๋ยวนี้ก็ยังเกร็งค่ะแต่ไม่เป็นตะคริวแล้ว555 และก็ยังสอนที่ SFPC ด้วย ช่วง summer สอนวิชา Experiments in Networked Performance คู่กับ Todd Anderson เกี่ยวกับการแสดงแบบ online หรือ telematics


music for Field Record By NiNi Dongnier photo by Sebastian Morales 


MORAKANA with Sebastian Morales photo by Mikey Asanin

เห็นว่ามีการทำงานร่วมกับ
ARTIST มากมาย พอจะมีผลงานให้เราได้ติดตามที่ไหนได้บ้าง
พอจบมาก็มีโอกาสได้เป็น artist resident ที่ Mana Contemporary, New Jersey และที่ CultureHub, New York ค่ะ ในช่วงที่เป็น resident ก็ได้มีโอกาสแสดงงานทั้งงาน Performances, Installations และ Talks นอกจากนั้นก็ได้มีโอกาสแสดง performance และ installation ที่ RÝMD - Iceland, Network Music Festival - UK, Elecktron - Estonia, 856G - Philippines, Cycling '74 Expo - Mass Moca - Massachusetts, Roulette Intermedium, Judson Memorial Church and The Immigrant Artist Biennial - New York, Singapore Art Museum, ATT19 - Thailand, Open Media Art Festival 2021 - South Korea, New York Live Arts, Museum of Science - Boston (NUUM Collective), Currents New Media - New Mexico, The National Gallery of Singapore, และ Gwangju Biennale 2022 (MORAKANA)



MORAKANA with Sebastian Morales photo by Mikey Asanin

และตอนนี้งอนงอนกำลังจะมีแสดงงานที่กรุงเทพ
 ที่ BACC ในงาน IntAct Festival Thailand วันที่ 24 ธันวา 2565 งานที่แสดงชื่อ Walking Mass เป็นงานที่ทำร่วมกับ NUUM Collective เป็นวีดีโอ Documentation จาก performance
.
.
.
สามารถติดตามผลงานและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไชต์
 xxx.tiri.xxx และ MORAKANA.com และ nuum.co